ความหมายของละครโทรทัศน์
ละครโทรทัศน์ คือรายการทางโทรทัศน์ที่มีบทละครและเรื่องราว
ไม่รวมถึงรายการจำพวก กีฬา ข่าว เรียลลิตี้โชว์ เกมโชว์ สแตนอัพคอเมดี้ และวาไรตี้โชว์
คือรูปแบบรายการโทรทัศน์ประเภทบันเทิง ละครโทรทัศน์เรื่องแรกคือ สุยานีไม่ยอมแต่งงาน ออกอากาศทางช่อง 4 บางขุนพรหมนักแสดงที่แสดงในละครโทรทัศน์จะใช้หลายมุมกล้อง บางครั้งนักแสดงจะไม่ทราบว่าเมื่อไรกล้องจะจับภาพ
ทางด้านบทละครโทรทัศน์ ต้องมีความละเอียดทุกขั้นตอนกว่าละครเวที เพราะบทโทรทัศน์เป็นตัวกำหนดมุมกล้อง
กำหนดฉาก การแต่งกายของผู้แสดง ดนตรี เสียงประกอบ และบางเรื่องยังมีคอมพิวเตอร์กราฟิกเข้ามาเพื่อความสมจริงอีกด้วย
หลังจากที่ประเทศไทยเปิดสถานีช่อง 4 บางขุนพรหม ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์แห่งแรก หลังจากนั้น 2 เดือนจึงมีละครโทรทัศน์เรื่องแรก คือ เรื่อง สุยานีไม่ยอมแต่งงาน ของนายรำคาญ (ประหยัด ศ. นาคะนาท) ออกอากาศเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2499 ละครโทรทัศน์ในยุคนี้เป็นการแสดงสด ส่วนละครพูดที่แต่งขึ้นใหม่สำหรับแสดงทางโทรทัศน์โดยเฉพาะ เป็นละครสั้นจบในตอน เนื่องจากห้องส่ง (สตูดิโอ) มีขนาดเล็ก จึงจำเป็นต้องใช้ฉากจำกัด นอกจากนี้นักแสดงยังจำบทละครไม่ได้ จึงต้องมีการบอกบทขณะแสดงด้วย ในปีแรก ๆ มีละครโทรทัศน์เพียง 6 เรื่อง อีก 5 เรื่องได้แก่ กระสุนอาฆาต(ออกอากาศเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2499) ,ดึกเสียแล้ว (ออกอากาศเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2499), น้ำสาบาน (ออกอากาศเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2499), ศัตรูลับของสลยา (ออกอากาศเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2499) และ ง่ายนิดเดียว (ออกอากาศเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2499)
ละครโทรทัศน์เริ่มเฟื่องฟูราวปี พ.ศ. 2501 นักแสดงละครเวทีเริ่มหันมาเล่นละครโทรทัศน์มากขึ้น ช่อง 4 มีผู้นิยมชมกันมาก
ส่วนสถานีโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.) ช่อง 7 ก็เริ่มบุกเบิกด้านละครโทรทัศน์มากขึ้น
ส่วนใหญ่จะนำเรื่องละครเวทีมาทำใหม่
แต่ก็มีเรื่องที่แต่งสำหรับละครโทรทัศน์มากขึ้น ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2505-2510 ทั้ง 2 สถานีแข่งขันผลิตละครดี
ๆ มาออกอากาศจำนวนมาก แต่กิจการละครโทรทัศน์ก็เริ่มเสื่อมไปช่วงหนึ่ง เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องยาวกลับมาได้รับความนิยม
ละครโทรทัศน์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
เมื่อมีการใช้เทปบันทึกภาพแทน ไทยทีวีสีช่อง 9 หรือช่อง 4 เดิม
มีการจัดละครโทรทัศน์มากกว่าช่องอื่น ๆ ออกอากาศตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์
ในลักษณะละครน้ำเน่าของสหรัฐอเมริกา โดยละครเรื่อง ทัดดาวบุษยา เมื่อ พ.ศ. 2519 ได้รับความนิยมอย่างมาก หลังจากนั้นก็มีการผลิตละครแนวนี้มากขึ้น
ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2522 ช่อง 5 ได้ผลิตละครเรื่อง 38 ซอย 2 ซึ่งถือว่าเป็นละครสำหรับครอบครัวครั้งแรก
มีคติธรรมในการดำเนินชีวิตครอบครัว
ในปี พ.ศ. 2523 กบว. ได้มีคำสั่งให้งดออกอากาศในช่วงเวลา 18.30-20.00 น. เพื่อให้ประหยัดพลังงาน จึงทำให้ละครได้รับความนิยมลดลง พร้อมกันนั้นภาพยนตร์จีนก็ข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 กบว. ได้ขอความร่วมมือกับสถานีโทรทัศน์ให้เสนอรายการของไทยแทนรายการต่างประเทศ ในช่วงเวลาหลังข่าว 20.00 น. จึงทำให้ละครไทยกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง จึงมีละครโทรทัศน์ในช่วงหลังข่าว 20.00 น. กันทุกช่อง ได้ดำเนินยุทธวิธีนี้มาจนปี พ.ศ. 2530 แต่บางช่องมีการเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีการจัดรายการในช่วงหลังข่าวอยู่บ้าง
สำหรับละครแนวซิตคอม ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเริ่มเมื่อใด แต่มีการการสันนิษฐานว่า
ละครชุด นุสรา (พ.ศ. 2503) เป็นละครแนวซิตคอมเรื่องแรก
ได้รับอิทธิพลจากละครของสหรัฐอเมริกาเรื่อง I Love Lucy ละครชุด นุสรา
เป็นละครเบาสมองชุดสั้นจบในตอน มีความยาว ตอนละ 30 นาที
มีผู้แสดงชุดเดียวกันตลอด แต่เรื่องที่ผลิตเรื่องที่สองไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
แต่มีรูปแบบละครรูปแบบนี้อีกหลายเรื่องเช่น ผู้พิทักษ์ความสะอาด ยุทธ-จักรนักคิด สาธรดอนเจดีย์ พิภพมัจจุราช หุ่นไล่กา บาปบริสุทธิ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามละครแนวซิตคอมเริ่มได้รับความนิยมในปี พ.ศ. 2536 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่มีเนื้่อหาเกี่ยวกับครอบครัว
เมื่อช่อง 3 เปิดสถานี มีละครเรื่องแรก ๆ ได้แก่ เขมรินทร์ – อินทิรา, แม่หญิง, สะใภ้จ้าว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ช่อง 3 ได้เปิดละครสมัยใหม่อย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2519 โดยมีภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ (มีชูธน) เป็นผู้บุกเบิก จากละครแบบเก่าที่มีคนบอกบท เป็นนักแสดงท่องบทเอง ลักษณะละครใกล้เคียงกับละครสมัยใหม่อย่างต่างประเทศ ภัทราวดี นำบทประพันธ์ นำเรื่อง ไฟพ่าย ของกฤษณา อโศกสิน มาประเดิมเป็นเรื่องแรก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปลี่ยนมาเป็นละครที่คิดบทเอง เช่น ขบวนการคนใช้, ตุ๊กตาเสียกบาล, สงครามปราสาท, นานาจิตตัง, ประชาชนชาวแฟลต, ศรีธนนชัย, ละครชุด ความรัก, ปะการังสีดำ
เมื่อปี 2524 สุรางค์ เปรมปรีดิ์ เข้ามาดูแลด้านการตลาด, ฝ่ายรายการและฝ่ายบุคคล ทางช่อง 7 และชวนหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม
ยุคล มาร่วมหุ้นเปิดบริษัทพร้อมมิตรภาพยนตร์
เพื่อผลิตละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ ละครในยุคแรกที่สุรางค์ เปรมปรีดิ์ หมายตาไว้
ไม่ใช่สูตรน้ำเน่าอย่างทุกวันนี้ มีผลงานเช่น หญิงก็มีหัวใจ, ห้องสีชมพู, เงือกน้อย, จดหมายจากเมืองไทย, ห้วงรักเหวลึก และ ข้าวนอกนาละครชุดที่โด่งดังมากคือ หมอผี ต่อมาช่อง 7 ได้ดึงวาณิช จรุงกิจอนันต์ มาช่วงเขียนบทโทรทัศน์ในยุคแรก คณะละครช่อง 7 ยุคแรก ๆ ได้แก่ไพรัช สังวริบุตร, กันตนา
นับแต่ปี 2530 เป็นต้นมา
ถือเป็นยุคธุรกิจละครเต็มรูป มีการวัดความสำเร็จด้วยระบบเรตติ้ง ละครโทรทัศน์ช่อง 7
สีในยุคธุรกิจเต็ม ระหว่างปี พ.ศ. 2530 – 2545 เช่นเรื่อง นางทาส, เคหาสน์สีแดง,ปราสาทมืด, กิ่งไผ่, ริษยา, กนกลายโบตั๋น, สายโลหิต, ญาติกา, รัตนโกสินทร์, สองฝั่งคลอง, นิรมิต, เบญจรงค์ห้าสี, น้ำใสใจจริง
ละครไทยในยุคปัจจุบันออกอากาศในหลายช่วงเวลาตลอดวัน รวมถึงในช่วงไพรม์ไทม์ (ช่วงเวลาที่ทางสถานีโทรทัศน์ให้ความสำคัญ) ในช่วงเวลาหลังข่าวภาคค่ำประมาณ 20.30 น.-22.30 น. ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์และผู้อำนวยการผลิตจะพิจารณานำโครงเรื่องหรือบทประพันธ์ที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษและเหมาะสมกับการผลิตรายการละครโทรทัศน์ รวมถึงคัดเลือกนัดแสดงที่ดึงดูดความสนใจของผู้ชม
ในปี พ.ศ. 2553 ละครโทรทัศน์ไทยได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศจีน โดยมีการนำเข้าฉายในหลายเรื่อง อาทิ สงครามนางฟ้า, เลือดขัตติยา, เลือดหงส์ เป็นต้น และในบางเรื่อง เช่น สงครามนางฟ้า ก็ได้มีการผลิตเป็นดีวีดีจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย อีกทั้งนักแสดงไทยก็ยังได้รับความนิยมหลายคน อาทิ เจษฎาภรณ์ ผลดี, ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์, ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ เป็นต้น และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยในขณะนั้น โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในเวลานั้น เดินทางไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
เพื่อลงนามบันทึกความตกลงในการนำละครโทรทัศน์ไทยแพร่ภาพออกอากาศที่จีน ทั้งทางสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีและสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น ต่อมาทางผู้จัดละครต่างๆ และสถานีโทรทัศน์ในประเทศไทย มีการบันทึกภาพละครเป็นระบบความละเอียดภาพสูง (เอชดี)
เพื่อการส่งออกในต่างประเทศอีกด้วย
ประเภทของละครโทรทัศน์
การแบ่งประเภทของละคร
ไม่ว่าเราจะสร้างสรรค์บทละครเรื่องใดๆ จำเป็นต้องทราบเสียก่อนว่า
เรื่องราวที่มีอยู่น่าจะเป็นละครประเภทใด
มิฉะนั้นอาจจะนำขนบหรือคุณสมบัติของละครประเภทหนึ่งไปใช้กับละครอีกประเภทหนึ่งซึ่งย่อมทำให้เกิดข้อบกพร่องหรือผิดพลาดได้
-ประเภทของละครแบ่งตามลักษณะแนวคิดและเนื้อหาของเรื่อง ได้แก่
1.ละครโศกนาฏกรรม (Tragedy) มักจะเสนอเรื่องราวจริงจัง และการกระทำของมนุษญ์
ที่แสดงการต่อสู้เพื่อความหมายในชีวิต เน้นความทุกข์ต่างๆของมนุษย์
และเป็นการต่อต้านพลังที่อยู่เหนือมนุษย์ หรืออยู่เหนือธรรมชาติ เช่นชะตากรรม
หรือพรหมลิขิตที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ มักจะจบลงด้วยความเศร้า ปัจจุบันTragedy ถึงจะจบด้วยความโศกเศร้า
แต่มักจะนำมาซึ่งความสุขบางอย่าง เช่นเรื่อง โรมิโอกับจูเลียต ถึงทั้งคู่จะตาย
แต่ความตายนั้นก็ทำให้สองตระกูลดีกัน
2.ละครสุขนาฏกรรม (Comedy)จะแสดงความบกพร่องของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ความพิการ
แต่จะเป็นความผิดพลาดที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้ชีวิตยุ่งยากมากขึ้น
แต่จะนำเสนอแบบไม่จริงจัง เหมือน Tragedy แสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของมนุษย์
และมักสะท้อนให้ผู้ชมเห็นชีวิตตัวเองอย่างขบขัน และต่างจาก Tragedyตรงที่ตัวเอกจะได้สิ่งที่สูญเสียคืนมา หรือได้ในสิ่งที่ตามหา
ชนะอุปสรรคทุกอย่าง ทำให้สังคมและโลกเจริญขึ้น จบแบบ happy
ending ละครสุขนาฏกรรมมีหลายชนิดเช่น
1. ละครตลกสุขนาฏกรรม Romantic comedy เช่น
ตกกระไดหัวใจพลอยโจร หรือ Notting Hill
2. ละครตลกสถาการณ์ (Sit-com หรือ Situation-comedy) พวกตลกสถานการณ์
3. ละครตลกโครมครามSlapstick comedyพวกตลกที่เล่นกับความเจ็บปวดของร่างกาย
พวกตลกคาเฟ่
4. ละครตลกร้าย (Black comedy) พวกตลกร้าย
เช่นตลก69 หรืออย่างDeath becomes hers อย่างที่ตอนที่นางเอกถูกยิงท้องโหว่ แต่ยังเดินได้
5. ละครตลกผู้ดี (Comedy of Manner or High comedy) คือการเอาลักษณะท่าทางของพวกผู้ดีมาล้อเลียน
6. ละครตลกเสียดสี (Satiric comedy)
7. ละครตลกความคิด (Comedy of ideas)
8. ละครตลกรักกระจุ๋มกระจิ๋ม (Sentimental comedy)
9. ละครตลกโปกฮา (Farce) พวกตลกตีหัว
มักจะเป็นตลกที่เอะอ่ะ ตึงตัง ตลกท่าทาง
เน้นความเจ็บปวด ความพิกลพิการเช่น ระเบิดเถิดเทิง สามเกลอหัวแข็ง
(บางตำราแยกเป็นคนละพวกกับComedy)
10. ละครตลกเศร้าเคล้าน้ำตา (บางคนเอาไปรวมกับพวกรักกระจุ๋มกระจิ๋ม)
4.ละครเริงรมย์ (Melodrama) เป็นละครประกอบเพลง เกิดขึ้นและนิยมมากในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม
จะเน้นเนื้อหาสะเทือนอารมณ์เป็นใหญ่ ขยายอารมณ์จนเกินจริง เช่น
ผู้ชายสูงศักดิ์รักกับหมอนวดหรือโสเภณี หรือประเภทนางเอกที่ตกระกำลำบาก
ทำอะไรก็มีอุปสรรคไปหมดจนเว่อ แล้วตัวละครก็ไม่มีทางต่อสู้อะไรได้เลย ฯลฯ
ใกล้เคียงกับละครโทรทัศน์ในปัจจุบัน
5.ละครสมัยใหม่ (Modern
Drama) แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ
ได้แก่
-ละครสัจจนิยม (realism) และ ธรรมชาตินิยม (naturalism) ทั้งสองแนวถือเป็นละครที่เกิดขึ้นมาต้านกระแส Romance และ Melodrama จะเน้นความเป็น Realistic คือความสมจริง ซึ่งได้อิทธิพลจาก สัทธิสัจจนิยม (Realism) ซึ่งหลังๆจะกลายเป็นลัทธิธรรมชาตินิยม (Naturalism) คือเน้นความเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องการแต่งเติมอะไรทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา หรือลักษณะการดำเนินชีวิต แต่สำหรับละครจะเน้น Realistic
นอกจากนี้ยังมีละครอีกหลายแนวที่ถือเป็นละครสมัยใหม่
ได้แก่
-ละครต่อต้านสัจจนิยม (anti-realism)
-ละครแนวสัญญลักษณ์ (symbolism)
-ละครแนวเอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ (expressionism)
-ละครแนวเอพพิค (epic)
-ละครแนวแอบเสิร์ด (absurd)
6.ละครร่วมสมัย (contemporary
drama) หรือละครกระแสหลัก (main stream)ในปัจจุบันมีหลายประเภท เช่น ละครเพลง (musical)
7.ละครพวกแนวหน้า (avant-garde) และละครสกุลหลังสมัยใหม่ (postmodern drama)
1. โครงเรื่อง (Plot)
องค์ประกอบของละครโทรทัศน์
องค์ประกอบสำคัญของการสร้างละครโทรทัศน์เพื่อความรู้
1. วัตถุประสงค์ของเรื่อง ต้องเป็นวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด เช่น
เป็นเรื่องรัก เรื่องชีวิต เรื่องลึกลับ
สืบสวนสอบสวนหรือตลก เป็นต้น และเนื้อเรื่อง ชื่อเรื่อง
หรือแก่นของเรื่องจะต้องมีความสัมพันธ์กัน
เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน
2.
การลำดับเรื่อง
การสร้างเรื่องราวหรือผูกเรื่องด้วยการสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ
ให้เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงไปสู่ทิศทางเดียวกัน
ใช้วิธีลำดับจากอดีตสู่ปัจจุบัน หรือจากปัจจุบันแล้วย้อนสู่อดีตก็ได้ หรือจะใช้ปัจจุบันเป็นหลักและแทรกสลับด้วยการเล่าย้อนหลังก็ได้
3.
ฉาก
เป็นการแสดงถึงสถานที่ของเรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ฉากที่เป็นประเทศชาติ บ้านเมือง
หมู่บ้าน ป่า ท้องนา
ถนน ทะเล ห้องนอน เป็นต้น เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจได้ทันทีว่า เหตุการณ์นั้นๆ
เกิดขึ้น ณ สถานที่ใด
4.
เวลา หมายถึง ยุคสมัย
เป็นสมัยโบราณ หรือสมัยใหม่
หรือในอนาคตที่เป็นความคิดฝันก็ได้
แต่ในการดำเนินเรื่องนั้น
เวลา ฉาก และการลำดับเรื่องต้องให้สอดคล้องกัน
5.
ภาษา หมายถึง การใช้ภาษา
รวมไปถึงลีลา สำนวนโวหาร การสร้างภาพพจน์ การสร้างความหมายให้เกิดขึ้นแก่ผู้ชม โดยภาษาจะต้องสอดคล้องกับฉาก เวลา
เรื่องราว และวัตถุประสงค์ของเรื่อง
จึงจะสามารถสร้างความบันเทิงและความรู้ให้เกิดขึ้นได้ตรงตามเจตนารมณ์
อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวกรีกได้กล่าวถึงองประกอบของละครไว้ในหนังสือโพเอทติกส์
(Poetics) ซึ่งถือเป็นตำราเกี่ยวกับทฤษฎีการละครเล่มแรกของโลก
โดยได้จำแนกองค์ประกอบของละครไว้ 6 ส่วน ( อ้างอิงจาก Geraldine Brain
Siks, 1983 : p.170 ) ดังนี้
1. โครงเรื่อง (Plot)
2. ตัวละคร (Character)
3. สาระของเรื่อง (Theme)
4. ภาษา (Diction)
5. เสียง (Sound)
1. โครงเรื่อง (Plot)
หมายถึง โครงสร้างของการกระทำที่ปรากฎอยู่ในละคร การลำดับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละครอย่างมีเหตุผล และจุดหมายปลายทาง
โดยให้มีความสมบูรณ์อยู่ในตัวเอง นั่นคือ
มีจุดเริ่มต้น ตอนกลาง และจุดจบของเรื่อง
เหตุการณ์ทุกตอนที่ประกอบเข้าด้วยกันจะต้องมีความสมเหตุสมผล ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฉากหนึ่ง
จะต้องมีความสัมพันธ์ หรือสืบเนื่องมาจากฉากอื่น การวางโครงเรื่องเป็นการวางแผน
หรือการกำหนดชะตาชีวิตของตัวละครแต่ละตัวให้มีเรื่องราว การกระทำ
อุปสรรค ปัญหา และบทสรุปของชีวิต
หรืออาจเป็นการ จัดลำดับสารให้อยู่ในรูปของการแสดงที่มีความขัดแย้งระหว่างตัวละครเอก
(Protagonist) และตัวละคร ฝ่ายร้าย (Antagonist) การจัดลำดับสารดังกล่าวจะทำให้เชื่อมโยงเห็นสาระสำคัญของเรื่อง
(Theme) ในที่สุด
2. ตัวละคร (Character)
หมายถึง
ตัวบุคคลที่ถูกสมมุติให้มีความสำคัญในการดำเนินเรื่อง หรือ ผู้กระทำ หรือผู้แสดงเรื่องราวต่าง ๆ
และได้รับผลจากการกระทำเหล่านั้นในบทละคร
ซึ่งตัวละครโดยหลักใหญ่แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1.ตัวเอก (Protagonist) เป็นตัวละครที่มีความสำคัญของเรื่อง ซึ่งจะมีความคิด อุดมการณ์อย่างแน่วแน่ที่จะเอาชนะอุปสรรค และข้อขัดแย้ง
ลักษณะเช่นนี้ทำให้ตัวเอกเป็นวีรบุรุษวีรสตรีในสายตายของผู้ชม
2.ตัวร้าย (Antagonist) เป็นตัวละครที่ขัดขวางการกระทำของตัวเอก
และทำให้เกิดข้อขัดแย้งและพัฒนาข้อขัดแย้งนั้นให้ลุกลามออกไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ผู้ชมมองเห็น ตัวละครนี้เป็นตัวเลวร้าย และเห็นแก่ตัว
3.ตัวประกอบ ( Related Characters) เป็นตัวละครที่ช่วยสนับสนุนให้โครงเรื่องพัฒนาไปสู่จุดสูงสุดของเรื่อง
(Climax) มีหน้าที่ช่วยพัฒนาตัวละครสำคัญในเรื่อง
บุคลิกตัวละครที่ดีจะต้องมีพัฒนาการ
คือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด
อุปนิสัยใจคอ
ตลอดจนทัศนคติต่อเรื่องราวต่าง ๆ
แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล
3. สาระของเรื่อง (Theme)
3. สาระของเรื่อง (Theme)
หมายถึง
ความคิดรวบยอด หรือแก่นของเรื่อง
เป็นข้อคิด สาระสำคัญ
หรือแนวปรัชญาที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระทั้งหมดของละคร ที่บทละครแต่ละเรื่องนำมาเสนอต่อผู้ชม ความคิดสำคัญหรือสระสำคัญนี้ จะพัฒนาตามสถานการณ์ในละคร ซึ่งจะแสดงออกมาทางการวางโครงเรื่อง
และลักษณะตัวละคร
ความคิดสำคัญหรือสาระของละครจะบอกให้ทราบถึงจุดมุ่งหมายของ บทละคร
และเป็นข้อคิดที่ผู้ชมจะนำมาเก็บไว้ใช้ประโยชน์แก่ตนได้ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับเงื่อนไข ของความเป็นมนุษย์ สาระของละคร จึงเป็นความคิดที่เป็นสากล
ที่สามารถปรับใช้กับสภาพทั่วไปได้
4. ภาษา (Diction)
หมายถึง ภาษาในละคร
ได้แก่ คำพูดที่ใช้ในละคร ชื่อเรื่อง
ชื่อตัวละคร และบทสนทนา ตลอดจนการกำหนดทิศทางบนเวที ( Stage
direction) ภาษาในละครจะสื่อสารข้อมูล ข่าสาร ความรู้ไปยังผู้ชม บทสนทนาจะเป็นทางที่ตัวละครแสดงออกถึงความคิด
และความรู้สึกออกมาเป็น วัจนสาร ซึ่งเป็นศิลปะของการถ่ายทอดเรื่องราวหรือความคิดของผู้ประพันธ์ออกมาทางคำพูดของตัวละคร
หรือบทเจรจาโดยภาษาพูดเพื่อการแสดงให้ผู้ชมดูไม่ใช่สำหรับการอ่าน
ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมสร้างอาการแสดง และช่วยในการพัฒนาตัวละคร โครงเรื่อง
ตลอดจนสาระของเรื่อง
ศิลปะการใช้ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การเขียนบทละครที่ดี แม้ว่าจะมีโครงเรื่อง ตัวละคร และความคิดที่ดี
หากไม่มีศิลปะในการใช้ภาษาก็ไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวและความคิดสู่ผู้ชมได้อย่างชัดเจนและน่าฟัง
บทสนทนาที่ดีต้องให้เหมาะสมกับประเภทของเนื้อหาในแต่ละเรื่อง บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของตัวละครที่จะพูด ความคิดอ่าน และอารมณ์ของผู้พูด ซึ่งทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงตัวละครได้เป็นอย่างดี
5. เสียง (Sound)
5. เสียง (Sound)
หมายถึง เสียงในละครทั้งหมด ได้แก่
เสียงพูดสนทนา (Verbal) เสียงเพลง หรือดนตรี (Song)
และเสียงประกอบ (Sound Effect) หรือเสียงจากสิ่งแวดล้อมอื่น
ๆ ที่เป็นอวัจนสาร (Verbal) ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยพัฒนาโครงเรื่อง และสาระของเรื่อง
เสียงที่นำเสนอในละครจะต้องถูกเลือกสรรเพื่อก่อให้เกิดการกระตุ้นอารมณ์
และสร้างจินตนาการของคนดู
การเขียนบทละครโทรทัศน์
1.
การเลือกเรื่อง
เป็นขั้นตอนแรกที่จัด
หรือผู้ผลิตจะเป็นผู้คัดเลือกเรื่องที่จะนำมาสร้างเป็นละคร เช่น จากบทประพันธ์ นวนิยาย
แนวคิด ประสบการณ์ หรือเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่
2.
กำหนดแก่นของเรื่อง (Theme)
หมายถึง สาระสำคัญของเรื่อง ได้แก่
สิ่งที่ผู้สร้างต้องการ นำเสนอแก่ผู้ชม บ้างครั้งอาจซ่อนไว้ในบทสนทนาบ้าง ในลักษณะท่าทางการแสดงออกของตัวละครบ้าง
สาระสำคัญอาจเป็นเพียงประโยคเดียว แต่ต้องมีความหมายสำหรับทุก ๆ คน
และการดำเนินเรื่องของตัวละครต่าง ๆ ต้องสนับสนุนแก่นของเรื่องด้วย แก่นของเรื่องที่ปรากฎให้เห็นทางละครโทรทัศน์ เช่น
ความรัก
อาจเป็นความรักในอุดมคติ
รักข้ามแดน รักต่างวัย ความรักของหนุ่มสาว ความรักในครอบครัว ความรักชาติ
เป็นต้น
การผจญภัย
อาจเป็นการผจญต่อเหตุร้ายในชีวิต
ผจญภัยในป่า
การผจญภัยที่พิสูจน์ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของตัวละคร
ชนชั้นในสังคม อาจเป็นสังคมสลัม สังคมชั้นสูงที่มีความแตกต่างกัน สังคมวัยรุ่น
สังคมนักธุรกิจ นายทุน
ความทรนง
เป็นความไว้ตัว รักเกียรติ ไม่ยอมอ่อนข้อ การต่อสู้เพื่อเผ่าพันธ์ วงศ์ตระกูล และศักศรี
ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความทะเยอทะยาน ความโลภ
การต่อสู้แย่งชิงลาภยศ
ความอาฆาตพยาบาท ความริษยา
ความเจ็บแค้น การต่อสู้ล้างแค้น
3.
วางโครงเรื่องย่อ (Plot)
โครงเรื่องย่อเป็นการประมวลเนื้อหาสำคัญของเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องย่อเกี่ยวกับใคร อะไร
มีความขัดแย้ง มีการคลี่คลาย และจุดจบอย่างไร
พยายามเน้นจุดเด่นและจุดที่น่าสนใจของเรื่องออกมาอย่างต่อเนื่อง อาจวางโครงสร้างออกเป็น 3 หรือ
4 ส่วน ดังนี้
Opening
Situation ส่วนเริ่มต้นปูพื้นเรื่องเพื่อให้เข้าใจว่า
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นตามมา ( สร้างปัญหา )
Complication เป็นการสร้างความยุ่งยาก
ขัดแย้ง สร้างปัญหา และเผชิญกับปัญหาของตัวละคร อาจเป็นการขัดแย้งกับคนอื่น หรือขัดแย้งกับตนเอง หรือขัดแย้งกับสิ่งอื่น ๆ ที่กดดัน
โดยปมขัดแย้งจะต้องแหลมคม
ลึกซึ้ง
และเข้มข้นขึ้นจนถึงจุดวิกฤต (Crisis)
The Final Crisis
เป็นการวางจุดวิกฤตดำเนินมาถึงจุดสำคัญสุดยอดของเรื่อง (Climax)
ที่ตัวละครต้องตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
4.
ขยายความเรื่องย่อ (Treatment)
หมายถึง
การนำเค้าโครงเรื่องย่อมาขยายความดำเนินเรื่องราว
เรียบเรียงรายละเอียด เหตุการณ์
และอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งอยู่ในโครงเรื่องย่อที่ได้วางแผนไว้ โดยจำแนกเป็นตอน ๆ
ให้มีฉากที่ครบสมสมบูรณ์
ในแต่ละฉากจะกำหนดเวลา
สถานที่ สถานการณ์ ตัวละครไว้อย่างครบถ้วน
เพื่อนำมาเป็นเนื้อหาที่จะถ่ายทอดในการเขียนบทโทรทัศน์ (บทถ่ายทำ)
ต่อไป ในการขยายความนั้น สิ่งที่เน้นที่จะต้องกำหนดลงไปในฉาก คือ
สถานที่
เช่น ในสำนักงาน ในรถ
ที่ชาย บนภูเขา หรือในเมืองเป็นต้น
เวลา
เช่น กลางวัน กลางคืน
เช้า บ่าย หรือกลางดึก เป็นต้น
เหตุการณ์
เช่น ในสถานที่นั้น เวลานั้น มีใคร
ทำอะไร กี่คน ทำไมถึงมาที่นั้น แต่ละคนมีความสัมพันธ์กันอย่างไรหรือไม่ ต้องมีใครหรืออะไรมาเสริมให้ฉากสมบูรณ์
5.
การเขียนบทแสดง (Scipt Writing)
หมายถึง นำรายละเอียดของฉากแต่ละฉาก และ
เหตุการณ์ แต่ละสถานการณ์มาเขียนเป็นบทโทรทัศน์ หรือบทแสดงให้สมบูรณ์ ได้แก่ เขียนในส่วนที่เป็นบทสนทนา
และส่วนที่เป็นการแสดงหรือท่าทางของนักแสดง
ประกอบด้วย
เลขที่ฉาก
เป็นส่วนที่แสดงให้ทราบว่าเป็นฉากที่เท่าไรของตอน ฉากไหนอยู่ก่อนหลัง
สถานที่
ในแต่ละฉากจะต้องระบุสถานที่ว่า เป็นที่ใด
เวลา
ต้องระบุเวลา และความต่อเนื่องให้ชัดเจน
ชื่อตัวละคร
ทุก ๆ ฉากต้องมีการระบุชื่อตัวละคร
เพื่อให้ทราบว่ามีตัวละครใดบ้าง และเพื่อความสะดวกในการจัดคิวผู้แสดง
บทสนทนา
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในแต่ละฉาก
เพราะบทสนทนาบอกให้ทราบถึง
เรื่องราว ความเป็นมาของเหตุการณ์ในเรื่อง
ตลอดจนบุคลิกลักษณะนิสัยใจคอของตัวละครทุกตัวในเรื่อง
ละครทีวีกับความเป็นมาทางสังคม
ปัญหาที่อยากพิจารณาคือ
เรามักอ้างว่า การสร้างละครทีวีเพื่อสะท้อนความจริงของสังคม
สิ่งที่จะพิจารณาเพิ่มคือ ความจริงทางสังคมที่ว่านั้น เป็นความจริงของสังคมแบบทั่วไปหรือว่าจุดหนึ่งซึ่งอาจเป็นจุดเล็กๆของสังคม
หากเป็นจุดเล็กๆของสังคมหรือบางครั้งเป็นจินตนาการของผู้เขียนการเสนอแบบนั้นเพื่อให้สังคมรับรู้ควรตั้งอยู่บนวิจารณญาณแบบใด
เราอาจแยกพฤติกรรมของสังคมออกเป็น ๒ ส่วนใหญ่ๆ โดยพิจารณาจากคุณค่าของพฤติกรรม ส่วนแรกคือ พฤติกรรมที่สังคมยอมรับว่าดี ส่วนที่สองคือ พฤติกรรมที่สังคมยอมรับว่าไม่ดี หากเรานั่งดูละครทีวี สิ่งที่กระตุ้นอารมณ์เรามากที่สุดคือพฤติกรรมแบบใดของตัวละคร เพราะการดูทีวีคือการเรียนรู้ประการหนึ่ง และเมื่อพิจารณาจากแง่มุมของพุทธศาสนา ที่เสนอว่า ชีวิตของคนนอกจากมีร่างกายแล้ว จิต คือสิ่งสำคัญยิ่งกว่าร่างกาย จิตจะเป็นตัวเก็บงำทุกอย่างที่กาย (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) รับรู้เข้ามา ดังนั้น หากเรารับรู้อารมณ์รุนแรงเข้ามา นั่นหมายความว่า อารมณ์รุนแรงนั้นประทับอยู่ในจิตและสะสมเป็นกองขนาดใหญ่ก่อนพลักดันพฤติกรรมทางกาย เราแน่ใจหรือไม่ว่า สิ่งที่ร่างกายแสดงออกไปนั้น เรามีสติเป็นอย่างดีก่อนที่จะเสนอออกไปต่อสังคมแวดล้อม เช่น กรณีอดไม่อยู่ที่จะต้องด่าทอกลับไปเพื่อให้ผู้ที่ด่าเราได้รับรู้หรือปกป้องตัวเองจากคำด่านั้น สิ่งที่ต้องถามคือ ระหว่างพฤติกรรมที่สังคมว่าดีกับพฤติกรรมที่สังคมว่าไม่ดีนั้น อะไร เข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจที่จะแสดงพฤติกรรมของคนดูละครมากที่สุด
จุดนี้ทำให้คิดว่า ละครทีวีสะท้อนความจริงของสังคมหรือว่าชี้นำสังคม เช่น เราต้องการซื้อรถยนต์สักคันหนึ่ง แต่ไม่รู้จะเลือกยี่ห้อใด เมื่อเราเห็นว่า ตัวละครในทีวีขับรถยี่ห้อนี้ เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะเห็นว่า ยี่ห้อที่ตัวละครเอกในเรื่องนั้นน่าจะดี เพราะจะมีภาพยนต์จำนวนหนึ่งที่สร้างเพื่อเชียร์สินค้าเช่นรถยนต์ อย่างภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง taxi ระเบิด เป็นต้น ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า รถยนต์ยี่ห้อนี้ขับได้มันสะใจ และเป็นอภิสิทธิ์บนท้องถนนด้วย
กรณี ความจริงของสังคมทั่วไป เชื่อว่า อยู่ภายใต้การยอมรับและดูธรรมดาของสังคม เพราะเป็นเรื่องทั่วไปที่เห็นๆกันอยู่ แต่ถ้าเป็นจุดลับของสังคม ดูจะเป็นเรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม จุดลับของสังคมหรือจุดหนึ่งของสังคมที่เสนอทางละครทีวีนั้น มันเป็นความจริงที่เป็นจริงหรือว่าจินตนาการของผู้เขียน มันมีเฉพาะความจริงแบบนั้นหรือว่ามีความจริงแบบอื่นด้วย ในการเสนอออกทางสื่อเราเสนอต่อบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะหรือไม่ กรณีต้องการเสนอต่อบุคคลวัย ๓๐ ปีขึ้นไป เราแน่ใจอย่างไรว่า จะมีเฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้นที่รับสื่อ คำถามมากมายเหล่านี้คือความสงสัยในความจริงของสังคมเช่นกัน ในทางย้อนกลับ หากเราไม่เสนอความจริงอันเป็นจุดลับของสังคมแบบนั้น จะเกิดผลดีหรือร้ายอย่างไรกับสังคมโดยรวมหรือไม่ สิ่งนี้น่าจะช่วยนักเขียนบทละครโทรทัศน์ในการสร้างสรรค์สังคมได้ด้วยในระดับหนึ่ง
บางบท สิ่งที่เรามักเกรงกลัวคือ เยาวชน/เด็กเล็ก เข้ามาชมและเรียนรู้พฤติกรรมบางอย่างของตัวละครและเก็บไปแสดงเป็นตัวอย่างในชีวิตจริง แน่นอน หากเป็นเรื่องดี สังคมคงไม่เดือดร้อนอะไรแทน แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สังคมรู้สึกว่า ละครทีวีอาจเข้าไปคุกคามพฤติกรรมของเด็กได้ สังคมมักจะเดือดร้อนร่วมกัน ทั้งที่ทางสถานีได้ประกาศป้ายว่า วัยใดเหมาะกับสื่อแบบไหน แต่เราก็คงไม่แน่ใจว่า ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กจะอยู่ในกรอบของวัย ที่แน่ๆ เราทุกวัยได้เรียนรู้สิ่งต่างๆจากทีวี และดูเหมือนเมื่อเราดูละครไปถึงบางจุด เราจะคิดว่า เราคือตัวสำคัญของตัวละครในทีวีด้วย นั้นคือการเรียนรู้ที่ลืมตัว การเรียนรู้แบบนี้อันตรายต่อพฤติกรรมของผู้ดูอย่างยิ่ง อันตรายอย่างไร อันตรายโดยที่เราจะซึมซับทุกอย่างอย่างลืมตัวกับสิ่งที่ทีวีเสนอออกมาโดยขาดวิจารณญาณ เมื่อนั้น สิ่งนั้นจะเข้ามารวมอยู่ที่ตัวเรา และกลายเป็นเราโดยอัตโนมัติ เรามักสนุกกับเด็กน้อยที่สามารถเต้นได้อย่างดาราอย่างไมเคิล แจ๊กสัน นี้อาจเป็นการสนับสนุนหนึ่งที่บอกให้เด็กรู้ว่า สิ่งที่ทีวีเสนอออกมานั้น เป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับละครทีวี เด็กที่นั่งดูสามารถที่จะสรุปได้อย่างมีวิจารณญาณตลอดเรื่องว่า ละครเรื่องนี้สอนอะไร ได้หรือไม่ หรือว่า จำได้เฉพาะบางตอน บางบทที่กระตุ้นอารมณ์ของเขา หากจำได้เฉพาะบางตอนบางบท การบอกว่า เพื่อเสนอความจริงของสังคม ดูจะไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ชมไม่สามารถเก็บความจริงทั้งหมดของเรื่องและสรุปเป็นข้อคิดด้วยวิจารณญาณได้ หากจะได้ได้เพียงสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์มากที่สุด คำถามคือ บทใดที่ผู้เขียนต้องการกระตุ้นอารมณ์ผู้ชมมากที่สุด เพื่ออะไรจึงเขียนบทแบบนั้นออกมา เพื่อให้ผู้ชมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบทด้วยอารมณ์เดียวกันอย่างลืมตัวหรือว่าผู้ชมน่าจะใช้วิจารณญาณเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ก็จะย้อนเข้าไปในคำถามเดียวกันอีกว่า ควรหรือไม่ควรอย่างไรกับการเสนอความจริงของสังคมแบบนั้น
ผู้เขียนเชื่อว่า เราเรียนรู้สิ่งต่างๆจากทีวีได้ แต่ไม่แน่ว่า ใครจะมีวิจารณญาณในการชมหรือซึมซับกับอารมณ์ในการชมมากกว่ากัน แต่ละวัยย่อมมีสิ่งนี้แตกต่างกัน เป้าหมายของการเสนอสิ่งต่างๆบนหน้าจอทีวีคืออะไร มีวิธีการอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย เป้าหมายของการมีชีวิตที่ดีหรืออะไร ทีวีตอบสนองเป้าหมายแบบนี้มากน้อยเพียงใด และสุดท้ายคือ "กระตุ้นอารมณ์" หรือ "ส่งเสริมปัญญา"
























